เหลือเชื่อ จำเขาได้มั้ย? ชายซีเรียอุ้มลูกขายปากกา ตอนนี้เข้ากลายเป็น CEO เจ้าของ 3 บริษัทไปแล้วเพราะเหตุผลนี้!

Unknown  |  at  2:51:00 PM  |   |  No comments



ชาวโลกไม่แล้งน้ำใจ.. แห่มอบเงินช่วยครอบครัวผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย ครอบครัวหนึ่ง กว่า 5.5 แสนบาท ในเวลาแค่ 3 ชั่วโมง หลังจากมีคนโพสต์รูปความรักของชายลี้ภัยชาวซีเรียคนหนึ่งที่มีต่อลูกสาวในสังคมโลกออนไลน์ ขณะเดินเร่ขายปากกาในเบรุต พร้อมกับต้องแบกลูกสาวที่นอนหลับปุ๋ยไว้บนบ่าด้วย

เมื่อ 28 ส.ค.58 เว็บไซต์เดอะ มิร์เรอร์ เผยแพร่ข่าวที่ทำให้เห็นถึงความมีน้ำใจของผู้คนบนโลก ที่ช่วยกันมอบเงินช่วยเหลือชายลี้ภัยชาวซีเรียเป็นจำนวนมาก หลังจากเห็นภาพชีวิตของชายผู้นี้ที่ต้องเดินตระเวนเร่ขายปากกาไปตามถนนในกรุงเบรุต เมืองหลวงเลบานอน ขณะเดียวกันก็ต้องอุ้มลูกสาวหน้าตาสวยน่ารัก ที่นอนหลับตามประสาเด็กไว้บนบ่าของเขาไปด้วย จนทำให้มีผู้บันทึกภาพความยากลำบากของชะตากรรมผู้ลี้ภ้ย รวมถึงความรักที่พ่อมีต่อลูกสาวที่ปล่อยให้ลูกหลับโดยไม่ยอมปลุก

ข่าวแจ้งว่า หลังจากมีนักกิจกรรมทางสังคม ชื่อ กิสซูร์ ซิโมนาร์ซอน ได้โพสต์ทวิตเตอร์ในโลกออน์ไลน์ แสดงให้เห็นภาพชีวิตความยากลำบากของผู้ลี้ภัยชายซีเรียคนนี้ และความรักที่เขามีต่อลูก อดทนแบกลูกสาวไว้บนบ่า หนำซ้ำยังต้องหิ้วถุงอีกใบในมือ ขณะต้องเดินขายปากกาเพื่อหวังนำกำไรมาเลี้ยงดูครอบครัว ปรากฏว่ามีผู้คนหลั่งไหลมอบเงินช่วยเหลือพ่อลูกชาวซีเรียลี้ภัยคู่นี้มาแล้วกว่า 11,000 ปอนด์ หรือกว่า 550,000 บาท ในเวลาแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น


กิสซูร์ ซิโมนาร์ซอน นักกิจกรรมทางสังคม ซึ่งพำนักอยู่ที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ประกาศว่า เขาจะติดตามหาชายลี้ภัยชาวซีเรียและลูกสาวนี้ให้ได้ แต่แล้ว หลังจากกิสซูร์ระดมเงินบริจาคผ่านทางออนไลน์ โดยติดแฮชแทก #Buypens ไม่ถึง 30 นาที ได้มีคนใช้ทวิตเตอร์ผู้หนึ่ง โพสต์เข้ามาบอกว่าเขาเห็นชายผู้นี้เดินอยู่บริเวณแถวบ้านของเขาทุกวัน จากนั้นก็ได้เกิดเรื่องเหลือเชื่อขึ้นอีก เพราะไม่ถึง 24 ชม. ได้มีคนเข้ามาแจ้งชื่อชายลี้ภัยชาวซีเรียคู่นี้ บอกว่า ชื่อ อับดุล เป็นพ่อที่ต้องเลี้ยงดูลูกถึงสองคน ลูกสาวคนเล็กชื่อ รีม อายุ 4 ขวบครึ่ง ส่วนลูกชายคนโต วัย 9 ขวบ โดยครอบครัวนี้ อพยพหนีภัยสงครามมาจากค่ายผู้อพยพ Yarmouk ในกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย

ทีมา => http://www.thairath.co.th/content/521436



0 comments:

General

© 2013 Thailand News
Blogger Template. Powered by Blogger.