เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 2 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการออกคำสั่งคสช.ฉบับที่ 39/2558 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 เพื่อคุ้มครองบุคคลและองค์กรที่มีหน้าที่รับผิดชอบบริหารจัดการข้าวคงเหลือของรัฐ ตามโครงการรับจำนำข้าว ว่า การออกคำสั่งดังกล่าว ไม่ได้เป็นการป้องกันการถูกฟ้องกลับ หากเจ้าหน้าที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยปกติหากทำโดยสุจริตกฎหมายจะให้ความคุ้มครองอยู่แล้ว ถึงไม่เขียนก็มีผลเหมือนกัน แต่คำสั่งที่ออกมา เพื่อตอกย้ำให้รู้ว่าถ้ากระทำโดยสุจริตก็ไม่สามารถฟ้องกลับได้ แต่จะฟ้องได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่กระทำโดยไม่สุจริต
อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบที่จะได้รับความคุ้มครอง คือ 1.ต้องเป็นการทำตามหน้าที่ 2.ต้องกระทำการโดยสุจริต หากทำนอกเหนือหน้าที่ เกินหน้าที่ ไม่มีหน้าที่ จะไม่ได้รับความคุ้มครอง หรือถ้าทำตามหน้าที่แล้วไม่สุจริต กลั่นแกล้งทั้งจงใจและไม่จงใจ หรือประมาทเลินเลอก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง
“หลักจึงอยู่ที่ว่า ทำตามหน้าที่และสุจริต เพื่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีจำนวนมาก บางคนอาจทำไปโดยไม่สุจริต ก็ให้รู้ว่าถ้าสุจริตถึงจะรอด ขอให้รู้ไว้ เตือนทั้ง 2 ฝ่าย และยืนยันว่า ไม่ได้ใช้คำสั่งนี้ไปกลั่นแกล้งใครอีกฝ่าย และไม่ได้เกี่ยวกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ จะเกี่ยวเฉพาะฝ่ายเจ้าหน้าที่ มันเป็นดาบสองคม ส่วนหนึ่งให้รู้ไว้ว่าคุณสบาย ได้รับการคุ้มครอง แต่อีกด้านให้คุณระวังไว้ถ้าไม่สุจริต คุณโดนแน่ หลักการอย่างนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาเขียนโดยอ้างอิงจากกฎหมายจาก 2-3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ. บริหารสินทรัพย์ กฎหมายความมั่นคง และกฎหมายอื่นๆอีก” นายวิษณุ กล่าว และว่า บางครั้งการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ถือว่าสุจริต แต่ไม่มีหน้าที่ไปทำก็ถือว่าไม่เกี่ยว ถือว่าไม่มีหน้าที่ เพราะพบว่า บางคนไม่มีหน้าที่ แล้วไปเที่ยวยุ่งกับเรื่องนี้ ซึ่งตนไม่ทราบว่ามีจำนวนมากหรือไม่ เพียงแต่ได้รับรายงานว่ามี
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ไม่มั่นใจในการปฎิบัติหน้าที่ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่ แต่เป็นบางคน ไม่ใช่กับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่กลัวจะถูกฟ้องร้องภายหลัง จึงต้องทำให้เกิดความมั่นใจ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ ความจริงเราต้องการจะปรามเท่านั้นเองว่า เจ้าหน้าที่อาจถูกฟ้องได้ ความจริงต้องการบอกเช่นนั้น แต่ก็จะเกิดความกลัวจนเกียร์ว่างกันหมด เราจึงต้องพูดกลับกันว่า คุณไม่ถูกฟ้องถ้าคุณสุจริต
เมื่อถามว่า ถือเป็นการป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ไปให้ความช่วยเหลือจำเลยในคดีจำนำข้าวใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ใครจะไปช่วยเหลือใคร แต่เกี่ยวข้องกับเรื่องการทำหน้าที่ในการนับจำนวนข้าว การระบายข้าว เพราะตั้งแต่ 22 พ.ค. 2557 มีเจ้าหน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก มีทุกจังหวัด รวมถึงเอกชนที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จนเกิดความไม่มั่นใจ เพราะบางทีมีการฝากข้าวไว้กับเจ้าของโรงสี ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าวันนึงจะโดนด้วยหรือไม่
ต่อข้อถามว่า เวลาผ่านมาปีกว่าแล้วเหตุใดกระทรวงพานิชย์ไม่ดำเนินการใดๆกับข้าวในสต๊อก นายวิษณุ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ทยอยดำเนินการอยู่ ล่าสุดได้รายงานในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ว่าข้าวในสต๊อกของรัฐยังเหลือ 13 ล้านตัน แบ่งออกเป็นข้าวดี ข้าวเสีย และข้าวที่ไม่แน่ชัดว่าดีหรือเสีย และข้าวที่ขายออกไปแล้ว 9-10 ล้านตัน
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า กรณีที่นายบุณทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ เขียนจดหมายเปิดผนึกโต้แย้ง ในเรื่องการถูกดำเนินคดีในโครงการรับจำนำข้าวหลายประเด็นว่า นายวิษณุ กล่าวว่า ส่วนของนายบุญทรง ก็ต้องไปว่ากัน ซึ่งเรื่องนี้มีคำชี้แจงมาโดยตลอด ว่าคนที่เกี่ยวข้องมีหลายกลุ่ม หลายพวก และอายุความของเจ้าหน้าที่รัฐ และเอกชนก็ไม่เท่ากัน และยังฟ้องดำเนินคดีคนละศาลด้วย อีกทั้ง ต้องใช้กฎหมายคนละฉบับมาดำเนินการกับเอกชน เพราะฉะนั้นต้องจัดการตามลำดับ เหมือนจับมือปืนแล้วค่อยจับผู้จ้างวาน แต่วันนี้จะจัดการกับเอกชนก็ไม่สามารถจัดการได้ เพราะต้องรอฟังสำนวน ที่อยู่ระหว่างสอบเจ้าหน้าที่รัฐก่อน
เมื่อถามว่าคำสั่งคสช. ดังกล่าว คุ้มครองเฉพาะการระบายข้าวในส่วนที่เป็นของกลางใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า หากทุกอย่างทำโดยมีหน้าที่ ใครไม่มีหน้าที่อย่าเข้าไปเกี่ยวและต้องสุจริต จึงจะได้รับการคุ้มครองในการจะระบายข้าว การนับหรือการเก็บ หรือการจะขนข้าว หรืออะไรก็ตาม
ต่อข้อถามว่า คำสั่งดังกล่าวจะคุ้มครองเจ้าหน้าที่ไปถึงเมื่อใด นายวิษณุ กล่าวว่า จนกว่าจะสิ้นสุดหน้าที่ หรือจนกว่าคำสั่งนี้จะหมดอายุ และสามารถยกเลิกคำสั่งดังกล่าวได้ เช่นเดียวกับ พ.ร.บ.ที่สภาสามารถออกพ.ร.บ. ฉบับใหม่มายกเลิกได้
เมื่อถามย้ำว่า อีกฝ่ายก็มองว่าคำสั่งคสช.ฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือในการดำเนินการอะไรหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ใช่ อย่าไปคิดอะไรเลย ถ้าคิดมาก คิดในแง่ร้าย มันก็คิดไปหมด เริ่มต้นถ้าดูให้ดี ไม่ได้เอาคำสั่งนี้ใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้ามแม้แต่นิดเดียว ไม่เช่นนั้นไม่ต้องมานั่งสอบให้เสียเวลา ใช้มาตรา 44 สั่งยึดทรัพย์ไปเสียเลย ก็หมดเรื่อง แต่ไม่มีการทำเช่นนั้น และทางนายกรัฐมนตรี ก็รับปากว่าจะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด มันเป็นเพียงเรื่องที่ต้องการทำให้เจ้าหน้าที่มีความระมัดระวังว่าต้องสุจริต และต้องการให้เจ้าหน้าที่มีความมั่นใจ ว่าตัวสุจริตและจะไม่ถูกฟ้อง ฟ้องเขาอาจจะไม่กลัวมากเท่ากับถูกดำเนินการทางวินัย ที่ระหว่างถูกดำเนินการจะถูกพักงาน แต่การโดนฟ้องมันยังหยุดงานไม่ได้ ส่วนกลไกลในการเข้าไปตรวจสอบเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการคุ้มครองเดี๋ยวจะมีตามมา
ผู้สื่อข่าวถามว่า การคุ้มครองในที่นี้รวมไปถึงโรงสีที่รับฝากข้าวด้วยหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “โรงสีใดก็ตามที่ไม่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ ซึ่งพบว่ามีจำนวนหนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งๆที่ไม่ได้รับมอบหมาย นั้นแหละจะโดน”
เมื่อถามถึงการขยายเวลาสอบพยานคดีรับจำนำข้าว ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความรับผิดทางละเมิดกระทรวงการคลัง ซึ่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 30 ต.ค. ออกไปเป็นเวลา 30 วัน นายวิษณุ กล่าวว่า การขยายเวลาสามารถขยายไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะสอบเสร็จและระวังอย่าให้ขาดอายุความ 2 ปี ที่จะครบกำหนดเดือนก.พ. 2560 แต่ไม่ใช่ว่าจะขยายไปเรื่อยๆถึงธ.ค.2559 จนเกินเหตุ เพราะกระบวนการขยายเวลา เมื่อถึงจุดหนึ่งต้องส่งต่อให้กรรมการอีกชุดพิจารณา ซึ่งมีเวลาพิจารณายาวเช่น ดังนั้น ในขั้นตอนแรกจะเอาเวลาของขั้นตอนแรกมาใช้ทั้งหมดไม่ได้ วันนี้ขยายเพื่อรอพยานเข้าให้ปากคำ
ทีมา => http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1446454735
0 comments: